วันพุธที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2560

แหวนลูกสูบ



แหวนลูกสูบ คือ ชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ ที่ติดตั้งอยู่ที่บริเวณด้านข้างส่วนบนของลูกสูบ ทำหน้าที่คล้ายกับซีลกั้นระหว่างปลอกสูบ (Cylinder Liner) กับลูกสูบ (Piston) เพื่อกันไม้ให้อากาศที่เกิดจากการจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ รั่วไหลผ่านเข้าไปในส่วนล่างของเครื่องยนต์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้กำลังเครื่องตก ในขณะที่ลูกสูบกำลังเคลื่อนที่ขึ้น-ลง แหวนสูบก็จะเคลื่อนที่ตามไปด้วย โดยการเคลื่อนที่ของแหวนสูบ จะทำให้เกิดการกวาดน้ำมันเครื่อง ที่หล่อลื่นอยู่บริเวณนั้น ไม่ให้หลุดลอด เข้าไปในห้องเผาไหม้มากจนเกินไป (จนอาจทำให้เกิดอาการควันไหลหรือเกิดควันขาว) และยังเป็นตัวช่วยระบายความร้อนจากลูกสูบ ไปยังผนังกระบอกสูบ เพื่อที่จะระบายความร้อนออกไปสู่ระบบน้ำหล่อเย็น บริเวณผนังกระบอกสูบด้วย

ซึ่งถ้าหากแหวนสูบเสียหายหรือแตกหัก จะส่งผลโดยตรงกับเครื่องยนต์ ทำให้กำลังเครื่องตก เพราะเมื่อจังหวะที่ลูกสูบกำลังเคลื่อนที่ขึ้นในจังหวะอัด ไอดีในห้องเผาไหม้จะเล็ดลอดออกมา ทำให้การเผาไหม้ทำได้แบบไม่เต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้อาจทำให้มีเขม่าสะสมอยู่บริเวณห้องเผาไหม้ เนื่องจากน้ำมันหล่อลื่นจากด้านล่างของเสื้อสูบ เล็ดลอดเข้าไปในห้องเผาไหม้มากเกินไปอีกด้วย ซึ่งนั้นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตที่อาจทำให้หัวเทียนบอด รวมถึงควันขาวตามไปด้วย เนื่องจากมีเขม่าในห้องเผาไหม้มากเกิน ทำให้ความสามารถหรือประสิทธิภาพในการจุดระเบิดต่ำลงนั่นเอง

หน้าที่หลักของแหวนสูบ
ป้องกันส่วนผสมอากาศและเชื้อเพลิงรั่วไหลออกจากช่องว่างระหว่างลูกสูบและกระบอกสูบ กับห้องเพลาข้อเหวี่ยงและห้องเผาไหม้ ในระหว่างจังหวะอัดและจุดระเบิด
ป้องกันน้ำมันเครื่องที่หล่อลื่นด้านข้างของลูกสูบกับกระบอกสูบ ไม่ให้เ้ข้าไปปนกับไอดีในห้องเผาไหม้
นำพาความร้อนจากลูกสูบไปสู่ผนังกระบอกสูบ เพื่อช่วยระบายความร้อนให้กับลูกสูบ
ส่วนวิธีการสังเกตว่า แหวนลูกสูบ ของเรายังสามารถคงสภาพใช้งานที่ดีอยู่หรือไม่นั้น สามารถสังเกตได้จากกำลังของเครื่องยนต์ รวมถึงอาการควันขาว ถ้าเพื่อนๆ ขับรถแล้วเร่งไม่ขึ้น เมื่อเทียบกับแต่ก่อน และมีควันสีขาวออกมาจากท่อไอเสีย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยครับว่า แหวนลูกสูบ ได้จากคุณไปแล้ว ซึ่งวิธีการแก้ไข ก็คงต้องพึ่งผู้เชียวชาญหรืออู่ที่ท่านไว้วางใจ เริ่มจากการเช็คกำลังอัด ถ้าหายจริงๆ ก็เปิดเครื่องเปลี่ยนแหวนลูกสูบได้เลย แต่ถ้าเครื่องยนต์ที่ผ่านการใช้งานมาหลายปีแล้ว ทาง BoxzaRacing แนะนำว่าให้ทำการ Overhaulทั้งฝาบน และท่อนล่างเลยจะดีกว่าครับ
ที่กล่าวมาทั้งหมดก็เป็นเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ แหวนลูกสูบ อีกหนึ่งหัวใจหลักที่ช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งในครั้งหน้า BoxzaRacing จะมีเกร็ดความรู้เรื่องรถอะไรมานำเสนออีก สามารถติดตามกันได้อย่างต่เนื่องที่นี่...ที่เดียวครับ

เพลาข้อเหวี่ยง (CRANKSHAFT)



เพลาข้อเหวี่ยง (CRANKSHAFT)


แรง ขับที่ใช้ในการขับเคลื่อนล้อของรถยนต์ ได้มาจากการเคลื่อนตัวขึ้นลงของก้านสูบและผลจากหมุนของเพลาข้อเหวี่ยงเพลา ข้อเหวี่ยงได้รับแรงจากลูกสูบและก้านสูบทำให้หมุนด้วยความเร็วสูงด้วยเหตุ นี้มันจึงทำจากเหล็กไฮเกร็ดผสมคาร์บอนซึ่งมีความทนต่อการสึกกร่อนสูง





ข้อเจอร์นัลถูกรองรับด้วยแบริ่งเพลาข้อเหวี่ยงของห้องเพลาข้อเหวี่ยง และเพลาข้อเหวี่ยงหมุนรอบข้อเจอร์นัลนี้ข้อเจอร์นัลแต่ละข้อมีแขนเพลาข้อ เหวี่ยงประกอบอยู่ ข้อเพลาข้อเหวี่ยงติดตั้งอยู่บนเพลาข้อเหวี่ยงเยื้องศูนย์กับแกนของเพลา น้ำหนักถ่วงประกอบอยู่ดังรูป เพื่อลดแรงความไม่สมดุลย์ของการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง ในขณะที่เครื่องยนต์ทำงานที่เพลาข้อเหวี่ยงมีรูน้ำมันเพื่อใช้ส่งน้ำมันหล่อ ลื่นให้กับข้อเจอร์นัล แบริ่งก้านสูบ และสลักก้านสูบ


เพลาข้อเหวี่ยง (Crankshaft) เป็น ส่วนที่สำคัญของเครื่องยนต์ ทำจากเหล็ก กล้าที่มีคาร์บอนสูง หรือเหล็กกล้าผสมนิดเกิล โครเมียม และโมลิบดินั่ม ใช้วิธีเผา ตีขึ้นรูป แล้วใช้เครื่องมือกล กัด กลึง ให้เป็นรูปตามต้องการ ในเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่จัดวางสูบเป็นแถวเดียว และมีหลายสูบ เพลาข้อเหวี่ยงอาจทำเป็นสองท่อนมีหน้าแปลนตรองปลายสำหรับยึดให้ติดกัน เพลาข้อเหวี่ยงจะต้องแข็งแรงต้านทานแรงที่จะทำให้เพลาคดหรือโค้งได้ นั่นคือ แรงที่กระทำเป็นเส้นตรงจากลูกสูบผ่านก้านสูบมายังเพลาข้อเหวี่ยงและยังต้อง ทนต่อแรงบิดที่เกิดจากก้านสูบ ซึ่งพยายามดันให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุนรอบตัวด้วย เพลาข้อเหวี่ยงจะต้องนำมาชุบแข็ง เพื่อลดแรงดันที่เกิดขึ้นในเนื้อโลหะ ซึ่งเกิดจากการตีขึ้นรูป และเป็นการเพิ่มความแข็งแรงให้กับเนื้อโลหะด้วย การชุบแข็งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทำให้เนื้อโลหะด้านนอกร้อนเร็ว นิยมใช้ชุบผิวเพลาข้อเหวี่ยงส่วนที่จะต้องเกิดการเสียดสี ให้มีผิวแข็ง ทนทานต่อการสึกหรอ แต่เนื้อโลหะภายในยังคงเหนียวเหมือนเดิม ผิวของเลาส่วนที่หมุนในแบริ่งจะต้องได้รับการเจียระนัย และขัดเป็นพิเศษเพื่อให้ได้ผิวที่เรียบจริง

แคมชาร์ฟซิ่ง แรงยังไง?



ว่ากันด้วยเรื่องของแคมชาร์ฟกันนะครับ หลายๆ คนถามว่า ลิฟคืออะไร แล้วก็องศาที่ว่าคืออะไร แล้วก็มาถึงคำถามยอดฮิตที่ว่า “ใส่แล้วช่วยอะไร” เดี๋ยวมาว่ากันครับ มาพูดถึงก่อนว่าแคมชาร์ฟมันคืออะไร


แคมชาร์ฟ จะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของวาล์ว โดยมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือ ระยะยก(Lift ที่กล่าวถึงข้างต้น)มีหน่วยเป็น mm ตัวเลขมันไม่สูงเช่น 6.0, 7.0, 7.5, 8.0, 9.5 เป็นต้น และระยะเวลาในการเปิดวาล์ววัดจากตอนวาล์วเริ่มเปิดจนกระทั่งปิดสนิทครับ การวัดจะวัดเป็นองศาของเครื่องยนต์ เช่น 256 องศา, 264 องศา, 272 องศา, 300 องศา เป็นต้นครับ การนำเอาแคมชาร์ฟที่มีระยะยกมากๆ มาใช้ต้องคำนึงถึงค่าความแข็ง( K ) ของสปริงวาล์วด้วย ไม่อย่างนั้นจะทำให้วาล์ว ทำงานผิดพลาดที่รอบสูงๆ ได้ นอกจากนี้การปรับการทำงานของแคมชาร์ฟให้ทำงานก่อนหลังจาก Standard ด้วยการใช้ Spocked มาช่วยปรับ เป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่จะเรียกแรงม้าหรือแรงบิดในรอบต้นๆ ได้

คราวนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า “ใส่แล้วช่วยอะไร?”

เครื่องยนต์ถ้าเราประจุอากาศได้มากขึ้นเราก็จ่ายเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นได้ จ่ายไฟแรงๆ จึงส่งผลให้การจุดระเบิดทำได้รุนแรงขึ้น เครื่องยนต์จึงแรงขึ้น นี่คือสิ่งที่เราอยากได้ เพราะเชื้อเพลิง, แรงไฟเราสามารถควบคุมได้ ส่วนปริมาณอากาศนั้นควบคุมได้ยาก แต่การเปลี่ยนเป็นแคมซิ่งนี่แหละครับทำให้เราพอจะควบคุมอากาศได้ เราจึงต้องการการเปิดวาล์วที่เพิ่มขึ้น (เพิ่มระยะยก) และเปิดนานให้ขึ้น (เพิ่ม timming) แต่ว่าไม่ใช่สักแต่เปิดมันก็ดีขึ้นนะครับ มันต้องขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่างประกอบกันด้วย เช่น ประสิทธิภาพฝาสูบในการสร้างแรงดูดอากาศ ลักษณะเสื้อสูบ และอื่นๆ ที่จะส่งเสริมการดูดอากาศเพิ่มขึ้น การเพิ่ม timming นั้น จะลดกำลังอัดและแรงดูด จึงทำให้เครื่องที่ใส่ cam shaft ซิ่ง รอบต้นๆ ของเครื่องยนต์ค่อนข้างแย่ แต่จะแรงในรอบปลายๆ นั่นหมายถึงไม่ค่อยเหมาะกับการเอามาขับในชีวิตประจำวันซักเท่าไหร่

วาล์ว คือ



วาล์ว มีลักษณะเป็นโลหะ ยาวพอประมาณ ก้านวาล์วกลมทรงกระบอก สวมสอดอยู่ภายในรูปลอกนำวาล์ว (ปลอกนำวาล์ว จะเป็นรูที่เจาะจากด้านบนฝาสูบ ไปจนถึงด้านบนของห้องเผาไหม้) ปลายด้านหนึ่งของวาล์ว จะยึดติดกับกระเดื่องวาล์ว (Rocker arm) หรือถ้าเป็นระบบ Over Head Cam ส่วนใหญ่จะไม่มีกระเดื่องวาล์ว ซึ่งวาล์วจะถูกควบคุมการเปิด-ปิด จากเพลาลูกเบี้ยว (Camshaft) โดยตรง

ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของวาล์ว มีลักษณะเป็นหน้าแป้นวงกลม ที่บริเวณรอบของหน้าแป้นนี้ จะเป็นจุดสัมผัสกับ ฝาสูบ (Cylinder head) ด้านบนห้องเผาไหม้ ที่เรียกกันว่า “บ่าวาล์ว” เมื่อวาล์วเปิดออกอากาศ จะไหลผ่าน เข้าหรือออก จากห้องเผาไหม้ได้ เมื่อวาล์วปิด หน้าวาล์วก็จะคืนกลับ (ด้วยการกระทำของสปริงวาล์ว) ไปประกบกับบ่าวาล์ว เป็นลักษณะเช่นนี้ไปตลอดการทำงาน และโดยทั่วไปแล้ว วาล์วไอดี จะมีขนาดใหญ่กว่าวาล์วไอเสีย เพื่อที่จะรองรับอากาศไหลเข้าได้มาก

แหล่งที่มา http://www.techniccar.com/car-engine-valve/

10 อันดับ รถมอเตอร์ไซด์กระเทยในตำนาน


10 อันดับ รถมอเตอร์ไซด์กระเทยในตำนาน

10 อันดับ รถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ หรือ รถมอเตอร์ไซด์กระเทย ที่เรียกกันในยุค 80 - 90 มอไซด์ที่นิยมกันของวัยรุ่น รถซิ่ง สายหมอบ ในอดีตนั้น มียี่ห้อ รุ่นอะไรกันบ้าง เพื่อนๆเคยมีรุ่นไหนกันบ้าง เขียนบอกกันใต้คลิปได้เลยครับ
1. 1. Suzuki Sprinter

ต้นยุค 80 Suzuki ก็ส่ง Sprinter เรียกว่ารถกระเทยรุ่นแรกๆกันเลยทีเดียว ยุคนั้นขายดีมากกกก เครื่องยนต์ JetCool อันเลื่องชื่อ 100 ซีซี
2. 2. Yamaha Belle

เบลล์ร้อยเยี่ยมด้วยระบบครัตช์อัตโนมัติแบบ Auto-Release Clutch 4 เกียร์ ให้คุณเข้าเกียร์ได้ง่าย รวดเร็ว และ นิ่มนวล โดยไม่ต้องผ่อนคันเร่ง เด่นด้วยเครื่องยนต์ 102 cc ระบบ 2 จังหวะ ราคา Belle 100 ยุคนั้น 31500 Belle R 34500 บาท
3. 3. Kawazaki Cosmo

รถในตำนาน หายาก เรียกว่ารถกระเทยยุคบุกเบิก Kawasaki Cosmo R ความรู้สึกที่ไม่ยอมแพ้ใคร ความรู้สึกที่คาดไม่ถึง ฟูลแพริ่ง ลู่ลม เร็วโลด คาวาเมติครัช 2 ระบบ หลายคนรู้จักกันดีในนาม คาวา หัวปลาทู เข้ม คม เหนือธรรมดา
4. Honda cela

110 CC 2จังหวะ รถในตระกูล Nova ของค่าย Honda ซึ่งออกมาทีหลัง Honda Nova S

5. Kawazaki Tuxedo

รถกระเทยตัวแรงจากค่าย kawazaki ที่ออกวางจำหน่ายในช่วงปี 1995 กับ kawazaki TUXEDO 110 cc ที่ออกมา 2 รุ่นคือ SE มีดิสเบรค และ TUXEDO SP มีดิสเบรคและล้อแม็ก
6. Yamaha ZR

120 cc ตัวแรงจากค่าย Yamaha ซึ่งสร้างความแตกต่างด้วยมี Deltabox ที่พัฒนาจากรุ่นพี่ YZR500 6เกียร์ ระบายความร้อนด้วยน้ำ
7. Suzuki Akira

Suzuki Akira เป็นมินิสปอร์ตโฉมใหม่ที่ปฏิวัตรูปแบบของมอเตอร์ไซด์แบบมินิสปอร์ตสมัยนั้น สมรรถณะของรถ ทำให้ขับขี่ได้ปลอดภัย เพราะมีน้ำหนักเยอะกว่ารุ่นอื่นๆ ในยุคเดียวกันทำให้เกาะถนนได้ดีมาก ซูซูกิ อากิร่า" เป็นการปฏิวัติรูปโฉมของรถจักรยานยนต์มินิสปอร์ตในประเทศไทยใหม่หมดทุกจุด 110 ซีซี ระบบระบายความร้อนแบบ "เจ็ตคูล" 5 เกียร์ ดิสเบรกหน้า ป็นรุ่นที่ออกวางตลาดหลังจาก Suzuki Sprinter และได้รับความนิยมอย่างมากจนทำออกมาหลายรุ่นเช่น Akira S,Akira RR,Akira M,Akira Young ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2533
8. Honda Tena

ฮอนด้า TENA จริงๆ คือ ฮอนด้า โนว่า TENA รถในตระกูลเดียวกับ NOVA s – Nova RS Super นั่นเองครับ โดยแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย คือ 4 เกียร์ ครัชต์เท้า และ 5 เกียร์ ครัชต์มือ และยังได้เต๋าสมชาย เข็มกลัด มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในเวลานั้นอีกด้วย
9. Honda Nova s/RS

วางจำหน่ายประมาณปี 2531 รถ honda ในตระกูลของ NOVA นั้นมีรุ่นย่อยค่อนข้างเยอะมาก เช่น nova-s 105 cc. 4 เกียร์ nova-rs 105 cc 5 เกียร์ ครัชต์มือ nova-r 105 cc 4 เกียร์ ครัชตเท้า nova-rs super 105 cc 5 เกียร์ ครัชต์มือ โดยเฉพาะ รุ่น RS-Super นั้นถือเป็นความไฝ่ฝันของเด็กวัยรุ่นสมัยนั้นเลย
10. Honda Dash

Nova Dash 125 ออกมา แบ่งเป็น R และRS R ไม่มี disk หลัง + ครัทมือ ส่วน dash RS มี และสีสัน RS นั้นสวยบาดใจสุดๆ

เป็นรถที่อยู่ในตระกูล Nova ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2 จังหวะ 125CC ถือว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ ที่สุดฮิตของสายซิ่งสายหมอบเมื่อประมาณ 20 ปี ก่อน ด้วยเครื่องที่แรงและการออกแบบที่สวยงามลงตัว เรียกว่าในยุคนั้นใครขี่แดช ถือว่าเท่ห์สุดๆ สาวรักสาวหลง ว่ากันอย่างนั้น

แหล่งที่มา http://top10-thai.blogspot.com/2016/09/10-2.html

วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

เครื่องยนต์


เครื่องยนต์ คืออะไร


เครื่องยนต์ดีเซล (อังกฤษ: diesel engine) เป็นเครื่องยนต์ประเภทหนึ่ง คิดค้นโดย นายรูดอล์ฟ ดีเซล (Rudolf Diesel) วิศวกรชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1897 อาศัยการทำงานของกลจักร คาร์โนต์ (Carnot’s cycle) ซึ่งคิดขึ้นโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ ซาร์ดิ คาร์โน ( Sardi carnot) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1824 เครื่องยนต์ชนิดนี้ ไม่มีหัวเทียน การจุดระเบิดอาศัย หลักการอัดอากาศและเชื้อเพลิง ให้มีความดันสูงจนเชื้อเพลิงสามารถติดไฟได้

หลักการทำงานของเครื่องยนต์ดีเซล คือ อากาศเมื่อถูกอัดตัวจะมีความร้อนสูงขึ้น แต่ถ้าอากาศถูกอัดตัวอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการสูญเสียความร้อน ทั้งแรงดันและความร้อนจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อฉีดละอองน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในอากาศที่ร้อนจัดจากการอัดตัว ก็จะเกิดการเผาไหม้ขึ้นอย่างทันทีทันใด ทำให้เกิดกำลังงานขึ้น กำลังงานที่เกิดขึ้นจะนำไปใช้ประโยชน์ในรูปของแรงขับหรือแรงผลักดัน ผ่านลูกสูบและก้านสูบทำให้เพลาข้อเหวี่ยงหมุน ณ กำลังอัดเดียวกัน อากาศที่อุณหภูมิเริ่มต้นสูงกว่า เมื่อถูกอัดย่อมมีอุณหภูมิสูงกว่าหรือร้อนกว่า

เครื่องยนต์ดีเซลแบ่งออกเป็นแบบใหญ่ๆ ได้เป็น 2 แบบคือ
เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ (The 4-cycle Engine)
เครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ (The 2-cycle Engine)

เครื่องยนต์ 4 จังหวะ (อังกฤษ: Four-stroke engine) เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ในรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถบรรทุก ที่ใช้เครื่องยนต์ที่มีการเผาไหม้ภายใน สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (อังกฤษ: petrol engine หรือ gasoline engine) ไอของน้ำมันจะถูกอัดแล้วถูกจุดระเบิดโดยหัวเทียน

“ไอดี” คือส่วนผสมของไอระเหยหรือละอองน้ำมันเบนซินผสมกับอากาศ ไอดีจะถูกดูดเข้ากระบอกสูบหรือฉีดเข้ากระบอกสูบโดยหัวฉีดในช่วงชักดูด และไอดีจะถูกอัดให้มีอุณหภูมิสูงขึ้นประมาณ 700-900 องศาเซลเซียส แล้วไอดีถูกจุดระเบิดโดยประกายไฟประมาณ 25,000 โวลต์ จากเขี้ยวหัวเทียน เรียกช่วงชักนี้ว่าช่วงชักระเบิด หรือ “ช่วงชักงาน” แรงระเบิดทำให้ลูกสูบเลื่อนลง เครื่องยนต์ได้งานในช่วงชักนี้ ทำให้เพลาข้อเหวี่ยงเกิดการหมุน เป็นการเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล ช่วงชักคายลูกสูบเลื่อนขึ้น ลิ้นไอดี “ปิด” ลิ้นไอเสีย “เปิด” ไอเสียออกจากกระบอกสูบทางลิ้นไอเสีย ผ่านท่อไอเสีย ออกสู่บรรยากาศ เครื่องยนต์ทำงาน ครบ 4 ช่วงชัก

หลักการทำงานของเครื่องยนต์ที่ทำงาน 4 จังหวะ (4 ช่วงชัก) แบ่งออกได้ดังนี้
1.ช่วงชักดูด หรือจังหวะดูด : ลูกสูบเลื่อนลง จากศูนย์ตายบน ลงสู่ศูนย์ตายล่าง ลิ้นไอดีเปิด เพื่อดูดไอดีเข้ามาในกระบอกสูบ ลิ้นไอเสียปิด
2.ช่วงชักอัด หรือจังหวะอัด : ลูกสูบเลื่อนขึ้น จากศูนย์ตายล่าง ขึ้นสู่ศูนย์ตายบน ลิ้นไอดีและลิ้นไอเสียปิดสนิท ไอดีถูกอัดให้ร้อน 700-900 องศาเซลเซียส
3.ช่วงชักระเบิด หรือจังหวะระเบิด : ลูกสูบเลื่อนขึ้นใกล้ศูนย์ตายบน หัวเทียนจุดประกายไฟเผาใหม้ไอดีเกิดการระเบิดขึ้นในห้องเผาใหม้ แรงระเบิดทำให้ลูกสูบเลื่อนลง จากศูนย์ตายบน ลงสู่ศูนย์ตายล่าง ทำให้เพลาข้อเหวี่ยงเกิดการหมุน เครื่องยนต์ได้งานในช่วงชักนี้ เรียกอีกชื่อหนึงว่า “ช่วงชักงาน” เป็นการเปลี่ยนพลังงานความร้อนเป็นพลังงานกล
4.ช่วงชักคาย หรือจังหวะคาย : ลูกสูบเคลื่อนที่จากศูนย์ตายล่างขึ้นสู่ศูนย์ตายบน ลิ้นไอดีปิด ลิ้นไอเสียเปิด แก๊สไอเสียออกจากกระบอกสูบผ่านลิ้นไอเสีย, ท่อไอเสีย และออกสู่ชั้นบรรยากาศภายนอกเครื่องยนต์




เครื่องยนต์ 2 จังหวะ (อังกฤษ: Two-stroke engine ) คือเครื่องยนต์ที่ทำงาน 2 ช่วงชัก คือช่วงชักที่ 1 คือช่วงชักดูดกับอัด และ ช่วงชักที่ 2 คือช่วงชักระเบิดและคาย และเครื่องยนต์ 2 ช่วงชักจะไม่มีวาล์วเปิดปิดไอดีไอเสีย แต่จะใช้ลูกสูบเป็นตัวเปิดปิดไอดีไอเสียแทน ซึ่งเครื่องยนต์ 2 ช่วงชักจะทำงานรอบจัดกว่าเครื่องยนต์ 4 จังหวะ และการเผาไหม้ก็มีประสิทธิภาพด้อยกว่าด้วย
ช่วงชักที่ 1
ดูด/อัด:ลูกสูบเคลื่อนที่ลงจากศูนย์ตายบนสู่ศูนย์ตายล่าง ในขณะที่ลูกสูบเคลื่อนที่ลงมานั้นจะจะทำให้ช่องพอร์ตไอดีเปิดไอดีถูกอัดจากห้องแคร้งค์ผ่านเข้ามาบรรจุในห้องเผาไหม้ในตอนนี้ช่องพอร์ตไอเสียจะเปิดออกด้วยเชื้อเพลิงที่เข้ามาจะช่วยขับไอเสียจากการเผาไหม้ด้วย ในการทำงานดังกล่าวเพลาข้อเหวี่ยงทำงาน1/2 รอบ (ครึ่งรอบ)

ช่วงชักที่ 2 ระเบิด/คาย:ลูกสูบจะเคลื่อนที่ขึ้นจากศูนย์ตายล่างขึ้นสู่ศูนย์ตายบนทำให้ช่องพอร์ตไอดีและพอร์ตไอเสียปิดอัดเอาเชื่อเพลิงให้มีปริมาตรเล็กลงในห้องเผาไหม้ หัวเทียนส่งประกายไฟจุดระเบิดเชื้อเพลิงลูกสูบเคลื่อนที่ลงเพราะแรงระเบิดทำให้ลูกสูบอัดเชื่อเพลิงในห้องแคร้งค์แล้วถูกอัดเข้ามาเมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ลงจนพอร์ตไอดีและพอร์ตไอเสียเปิดเชื้อเพลิงจะขับไล่ไอเสียออกด้วย เพลาข้อเหวี่ยงหมุนครบ 1 รอบ พอดี


แหล่งที่มา https://stu40221web.wordpress.com


แหวนลูกสูบ

แหวนลูกสูบ คือ ชิ้นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ ที่ติดตั้งอยู่ที่บริเวณด้านข้างส่วนบนของลูกสูบ ทำหน้าที่คล้ายกับซีลกั้นระหว่างปลอกสูบ (Cylinder ...